ย้อนกลับไปสมัยช่วงที่เกม Battle Royale กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด คงไม่มีใครคาดคิดว่า การลองเกาะกระแสขำ ๆ ของ fortnite จะกลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจนทำให้เกมฮิตไปทั่วโลก และแทบจะเป็นเกมเดียวที่มีการครอสโอเวอร์กับสื่อ Pop Culture มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน ดารา ภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูน และอื่น ๆ อีกมากมาย วันนี้เราจะพาทุกท่านย้อนไปดูความสำเร็จของ Fortnite กัน ว่าการเดินทางของเกมนี้นั้นน่าเป็นมาอย่างไรบ้าง
รู้หรือไม่ว่า fortnite แรกเริ่ม ไม่ใช่เกม Battle Royale
หากคุณค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ว่า fortnite คืออะไร คุณจะได้คำตอบเป็น “เกม Battle Royale” ซะส่วนมาก แต่จริง ๆ แล้วหลายคนอาจไม่ทราบว่า ต้นกำเนิดของ Fortnite จริง ๆ แล้วนั้น ไม่ใช่เกมแนว Battle Royale แต่เป็นเกมแนว Tower Defense แบบ Co-op ที่มีชื่อว่า Fortnite: Save the World ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2017 โดยเป็นช่วงที่เกม Battle Royale กำลังรุ่งเรือง และพัฒนาโดย Epic Games
Fortnite: Save the World เป็นเกมแบบป้องกันฐานหรือที่เราเรียกกันว่า Tower Defense โดยเราสามารถใช้วัตถุดิบต่าง ๆ เช่น ไม้ เหล็ก อิฐ มาก่อร่างสร้างกำแพงป้องกันฝูงมอนสเตอร์ที่บุกมาถล่มพื้นที่ของเรา และคอยยิงต่อสู้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในตอนนั้นด้วยปรากฎการณ์ของเกมแนว Battle Royale ทำให้หลากหลายค่ายเกมหันมาสนใจเกมแนวนี้กันมากขึ้น ในตอนนั้น Epic Games คิดว่า ตัวเกม Fortnite ของพวกเขานั้น สามารถสานต่อไปทำโหมดเกมแบบ Battle Royale ได้ จึงพัฒนาตัวเกมแยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และในเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น หลังจาก Fortnite: Save the World เปิดตัว Fortnite ฉบับ Battle Royale ที่เรารู้จักกันนี้ก็ถือกำเนิดขึ้น และไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะกลายเป็นเกมยอดนิยมระดับโลกอย่างในปัจจุบัน
Fortnite Battle Royale ถูกทำให้กลายเป็นเกมเล่นฟรี และขายระบบ Microtransaction แทน จากการประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ทาง Epic Games จึงสั่งแยกทีมทำเกม โดยสร้างทีมทำเกมเวอร์ชั่น Battle Royale ต่อไปโดยเฉพาะ และกลไกการเล่นโหมดนี้คือการเอาระบบ Build สิ่งของมาสานต่อในโหมด Battle Royale นี้ด้วย และทำให้มันกลายเป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้ไป ซึ่งการ Build สิ่งของป้องกันนี้ เป็นไอเดียจากเกมหลักของพวกเขาเอง
สร้าง วิ่ง ยิง ชนะ
Fortnite เป็นเกม Battle Royale ในช่วง 2017 ช่วงที่เกมแนวนี้ยังคงบูม และได้รับความนิยมอย่างมหาศาล ทุกเกมล้วนมีเกมเพลย์การเล่นเหมือนกัน คือโดดร่ม ลงไปหาอาวุธแล้วไล่ยิงสังหารกันจนกว่าจะอยู่รอดเป็นคนสุดท้าย ดังนั้นปัญหาของทีมพัฒนาเกมแนว Battle Royale ในยุคนั้นคือ จะสร้างความแตกต่างให้กับเกมของตัวเองและเป็นที่น่าสนใจได้อย่างไร และอย่างที่บอกว่า ทีม Epic Games ได้เล็งเห็นว่าตัวเกม Fortnite ของพวกเขาสามารถต่อยอดไปทำเกมแนว Battle Royale ได้ จึงจัดการพัฒนาเกมเป็นโหมดแยกออกมาและเปิดให้เล่นฟรี
สิ่งสำคัญที่ทำให้ Fortnite แตกต่างไปจากเกมอื่นก็คือ การนำเอากลไกเกมการเล่นจากเกมหลักมาใช้ นั่นคือเกมการเล่นแบบ Build & Craft แต่จากที่เกมหลักเราจะใช้การเล่นนี้เพื่อสร้างสิ่งของป้องกันแบบ Tower Defense ในโหมด Battle Royale นี้ เราจะใช้เกมการเล่นแบบ Build & Craft ในการสร้างสิ่งของป้องกัน สร้างขึ้นมาเป็นพื้นที่ในการ Cover คอยหลบกระสุนแทน แต่ที่เหนือล้ำขึ้นไปอีกขั้น คือสร้างเป็นบันได สะพาน เชื่อมพื้นที่ และสร้างพื้นที่ในการเล่นให้ฝ่ายเราได้เปรียบ ด้วยกลยุทธ์และเกมการเล่นแบบนี้ ทำให้ Fortnite กลายเป็นเกมระดับ Advanced แต่ไม่ได้ยากในเรื่องการยิง เพราะมันยากในเรื่องของการสร้าง
หากคุณเคยดูเกมการเล่นของเหล่า Pro Player จะเห็นว่าการ Build ของคนที่เล่นเก่ง ๆ นั้น ล้วนผ่านการฝึกฝนมาอย่างช่ำชอง เพราะเกมนี้ ลงลึกในส่วนของการ Build มาก เริ่มจากวัตถุดิบที่มีตั้งแต่ไม้ อิฐ และเหล็กซึ่งจะมีค่าความคงทนที่แตกต่างกันออกไป และหาได้จากวัตถุดิบที่แตกต่างกันด้วย เช่นไม้ก็จะหาได้จากต้นไม้ ใบหญ้าต่าง ๆ อิฐจะได้จากผนัง กำแพงตึก ส่วนเหล็กจะได้จากสิ่งของที่เป็นเหล็กเช่นตู้ รถ หรือซากสิ่งของต่าง ๆ นั่นเอง จากนั้นในการ Build สิ่งของป้องกัน เราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้อะไรสร้าง พลังป้องกันของสิ่งของแต่ละอย่างจะต่างกันไป เช่น ไม้ จะมีพลังป้องกันน้อย อิฐจะป้องกันได้ปานกลางและเหล็กจะทนทานมาก
ปัญหาไม่ได้อยูที่การหาของมาสร้าง แต่อยู่ที่การควบคุมในการสร้าง เกมนี้จะอาศัยความเคยชิน ความชำนาญ และการควบคุมให้ละเอียด ถึงจะสร้างสิ่งของออกมาได้อย่างแม่นยำ และป้องกันได้ถูกทิศทาง ซึ่งตัวเกมรองรับการตั้งค่าทั้งจากเมาส์และคีย์บอร์ด ทำให้ผู้เล่นสามารถตั้งค่าได้ตามใจต้องการ แต่ต้องอาศัยเวลา และความเคยชิน ก่อนจะพัฒนาการไปสู่ความชำนาญ และเพราะระบบนี้แหละที่ทำให้ Fortnite โดดเด่น มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองแบบสุด ๆ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่แต่ละคนถอดใจไป เพราะความยากในการฝึกให้เชี่ยวชาญ แต่กลับกัน สิ่งที่มาดึงดูดให้เหล่าผู้เล่นหน้าใหม่ ทยอยเดินหน้าเข้าสู่เกมเรื่อย ๆ แบบไม่มีแผ่วนั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า การครอสโอเวอร์
เจ้าพ่อแห่งการครอสโอเวอร์ในวงการเกม
เชื่อว่าแม้แต่แฟนเกมที่ไม่ได้เล่นเกม Fortnite มา ยังจะต้องรู้จักเกมนี้ เพราะนี่น่าจะเป็นหนึ่งในเกมที่ครอสโอเวอร์ และ Featuring กับวัฒนธรรม Pop Culture มาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน หนัง ซีรีส์ การ์ตูน เพลง ศิลปินดารา ล้วนเคยเข้ามาแจมใน Fortnite แล้วไม่ว่าจะเป็น Marvel, DC, Star Wars, Naruto หรืออย่างศิลปินระดับโลกเช่น Travis Scott, Ariana Grande และอื่น ๆ อีกมากมาย
ผลจากการครอสโอเวอร์สุดโหด ทำให้ผู้เล่นบางที่ไม่เคยเล่นก็ยังหันมาให้ความสนใจเกมนี้ อย่างน้อยแค่พวกเขาดาวน์โหลดเกม หรือเข้ามาลองเล่น ก็อาจจะนับเป็นการประสบความสำเร็จของทาง Epic Games แล้วก็ได้ นอกจากการครอสโอเวอร์แล้ว Fortnite ยังมีการขายสกินตามอีเวนท์หรือเทศกาลพิเศษที่เป็นออริจินอลของเกมอีกมากมายด้วย เรียกได้ว่าถ้าเล่นเกมนี้แล้วเจอคนแต่งตัวซ้ำกัน น่าจะเป็นโอกาสที่หาได้ยาก หรือใครอยากเห็นภาพแปลก ๆ ที่หาไม่ได้ในเกมอื่น เช่น Kratos ถือสไนเปอร์ ซาสึเกะ นารูโตะ ขี่รถไล่ยิงชาวบ้าน หรือแม้แต่สไปเดอร์แมนที่ใช้ปืนพกไล่ยิงคน เกมนี้คุณจะได้เห็นอะไรแบบนั้นทั้งหมด
แม้ว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบที่ตัวการ์ตูน หรือตัวละครโปรดสุดรักถูกนำมาใส่ในเกมนี้ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า Fortnite เป็นเกมที่ไปคว้าเอาลิขสิทธิ์หนัง ภาพยนตร์ การ์ตูน มาอัดไว้เยอะที่สุด แต่น่าเสียดายที่ของเหล่านี้อยู่ไม่นาน ก็ออกไป ดังนั้นใครที่อยากสะสมสกินของตัวละครโปรดใน Fortnite ก็ต้องรีบซื้อในช่วงเวลาที่มันเปิดขายเท่านั้น เพราะถ้าพลาดไปแล้ว กว่าจะวนกลับมาขายอีก อาจจะนานมาก หรือไม่มีโอกาสนั้นเลยก็เป็นได้
เกมฟรีที่ประสบความสำเร็จเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลก
แม้หลายคนจะไม่ชอบเกมนี้ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า fortnite เป็นเกม Free-to-Play ที่ประสบความสำเร็จเป็นแถวหน้าของโลก มีรายงานว่าในช่วง 10 เดือนแรกหลังจากที่ตัวเกมเปิดตัว มันทำเงินได้กว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลงานที่ไม่ธรรมดา และน้อยเกม น้อยค่ายเกมที่จะทำได้ โดยเฉพาะกับเกมที่สามารถเล่นได้แบบฟรี ๆ และยังมีผู้เล่นหลัก 100 ล้านคนทั่วโลก
แน่นอนว่าที่ใดมีแสงสว่างที่นั่นย่อมมีเงามืด Fortnite กลายเป็นการประสบความสำเร็จแต่ก็มีทั้งข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเกมจนเกินเหตุ อุบัติเหตุ ไซเบอร์บูลลี่ และอื่น ๆ อีกมากมายที่หลายคนอ้างว่ามาจาก Fortnite แต่สุดท้ายไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เกมของมันก็ยังเดินหน้าอัปเดต ดูแลตัวเกมอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จมาจนถึงตอนนี้
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า Fortnite ยังคงเป็นเกม Battle Royale แถวหน้าของโลก และน่าจะยังเป็นต่อไปอีกนานเลยทีเดียว